Bacterial vaginosis (การติดเชื้อแบคทีเรียภายในช่องคลอด)
โรค Bacterial Vaginosis หรือ BV คือโรคที่เกิดจากการเสียสมดุลของเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดผู้หญิง แล้วเกิดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นมาแทนที่ แล้วเกิดการอักเสบจนมีอาการ มีตกขาวมากกว่าปกติ ตกขาวมีกลิ่นเหม็น เจ็บปวด แสบร้อน หรือคันภายในช่องคลอด โรคนี้พบได้มากแค่ไหน? โรค BV นี้เป็นโรคที่ก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อในช่องคลอดมากที่สุดในหญิงวัยเจริญพันธุ์ และในประเทศสหรัฐอเมริกา พบมากในสตรีที่ตั้งครรภ์ ผุ้หญิงเป็นโรคนี้ได้อย่างไร? โรคนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร แต่เข้าใจกันว่า เกิดจากการเสียสมดุลของเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด ซึ่งตามปกติในช่องคลอดของผู้หญิงทุกคน จะมีเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่นอยู่กันอย่างสงบสุขและสมดุล ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้ส่วนใหญ่ถือว่าเป็นแบคทีเรียที่ดีต่อสุขภาพของผู้หญิง แต่มีส่วนน้อยที่อาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ โรค BV นี้เกิดขึ้นจากการที่เชื้อแบคทีเรียชนิดที่มีอันตรายนี้เพิ่มจำนวนขึ้นมากกว่าปกติ ผู้หญิงทุกคนสามารถเป็นโรคนี้ได้ แต่มีกิจกรรมหรือพฤติกรรมบางอย่าง ที่อาจจะช่วยส่งเสริมให้เกิดความเสียสมดุลของเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด ทำให้เป็นโรคนี้ได้ง่ายขึ้น กิจกรรมนั้นคือ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนใหม่ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายๆ คน การสวนล้างช่องคลอด กิจกรรมบางอย่างไม่มีส่วนในการทำให้เกิดโรคนี้ เช่น การใช้ที่นั่งของโถส้วมร่วมกับผู้อื่น, การใช้สระว่ายน้ำรวม, การใช้ที่นอนร่วมกับคนอื่น, การจับหรือสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัว อาการและการแสดงออกของโรคนี้ ผู้ป่วยโรคนี้ส่วนใหญ่ไม่มีอาการใดๆ หรือถ้ามีก็จะมีอาการดังต่อไปนี้ มีตกขาวที่ผิดปกติไปจากเดิม ตกขาวมีกลิ่นเหม็น (บางคนบอกว่ากลิ่นเหมือนเหม็นคาวปลา) ตกขาวสีขาวหรือน้ำตาล มีอาการแสบร้อนในขณะที่ปัสสาวะ มีอาการคันรอบๆบริเวณของปากช่องคลอด อะไรคือภาวะแทรกซ้อนของโรค BV? ส่วนใหญ่โรคนี้จะไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่คนไข้โรค BV บางรายเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นคือ คนไข้ที่เป็นโรคนี้ มีโอกาสติดเชื้อ HIV ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ คนไข้ที่เป็นโรคนี้ถ้าติดเชื้อ HIV มีโอกาสแพร่เชื้อ HIV ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ คนไข้ที่เป็นโรคนี้ ถ้าเข้ารับการผ่าตัดใดๆบริเวณอวัยวะสืบพันธ์ เช่น ผ่าตัดมดลูก หรือ ขูดมดลูก มีโอกาสติดเชื้อที่แผลผ่าตัด หรือในบริเวณนั้นได้มากกว่าคนที่ไม่มีโรค BV คนไข้ที่เป็นโรคนี้ ในขณะตั้งครรภ์มีโอกาสที่จะมีภาวะแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์ได้มากกว่าคนท้องที่ไม่เป็นโรคนี้ เช่น การคลอดก่อนกำหนด และอาจจะมี ลูกมีน้ำหนักแรกคลอดน้อย คนไข้ที่เป็นโรคนี้ มีโอกาสติดเชื้อ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ เชื้อที่ก่อโรคนี้ อาจจะลุกลามออกไปที่มดลูก ปีกมดลูก รังไข่ ทำให้เกิดโรคติดเชื้อที่อุ้งเชิงกรานได้ (PID) และโรค PID ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการที่จะเป็นหมัน หรือเป็น ภาวะท้องนอกมดลูกที่มีอันตรายต่อชีวิตได้ เราจะวินิจฉัยโรคนี้ได้อย่างไร? การนำสารน้ำจากช่องคลอดมาตรวจทางห้องปฏิบัติการทางแลปส์ เพื่อตรวจเชื้อแบคทีเรีย ที่มีความสัมพันธ์กับการเกิด โรค BV การรักษาโรค BV แม้ว่าคนไข้โรคนี้บางคนสามารถหายจากโรคนี้ได้เองโดยไม่ต้องเข้ารับการรักษา แต่อย่างไรก็ตามคนที่เป็นโรคนี้แล้วมีอาการ ควรเข้ารับการรักษาเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะตามมาได้ ในผู้ชายที่เป็นคู่นอนของหญิงที่ป่วยด้วยโรคนี้ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเข้ารับการรักษา สำหรับในหญิงที่ตั้งครรภ์นั้น มีความจำเป็นมากในการที่จะต้องรักษาโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงตั้งครรภ์ที่เคยมีประวัติคลอดก่อนกำหนด หรือลูกคลอดออกมาน้ำหนักน้อยกว่าปกติ ควรต้องเข้ารับการตรวจหาโรค BV (แม้ไม่มีอาการใดๆ) และถ้าพบว่าเป็นโรคควรได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม แพทย์บางคนทำการรักษาโรค BV ก่อนการผ่าตัดคนไข้ที่จะเข้ารับการทำผ่าตัดมดลูกหรือการทำแท้ง เพื่อป้องกันภาวการณ์ติดเชื้อหลังผ่าตัด โรค BV นี้ รักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ยาปฏิชีวนะ 2 ชนิดที่แนะนำในการใช้ในการรักษาโรคนี้ คือ Metronidazole หรือ Clindamycin ซึ่งยาทั้งสองชนิดนี้สามารถใช้ได้ทั้งคนตั้งครรภ์และไม่ตั้งครรภ์ คนที่ติดเชื้อ HIV ก็รักษาเหมือนกับคนที่ไม่ได้ติดเชื้อ HIV โรคนี้สามารถเป็นได้ใหม่ภายหลังการรักษาจนหายแล้ว เราจะป้องกันโรคนี้ได้อย่างไร? โรคนี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจกันอย่างถ่องแท้ในหมู่นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ เพราะฉะนั้นทางที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคนี้จึงยังไม่มี แต่เรามีทางในการลดความเสี่ยงในการที่จะเป็นโรคนี้คือ มีความยับยั้งชั่งใจทางเพศ ไม่มีคู่นอนหลายๆคน ไม่สวนล้างช่องคลอด...
Read more